เจาะลึก 4P และ 4C ต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ

เจาะลึก 4P และ 4C ต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ

สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ และมีการทำการตลาดมาบ้าง คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ากลยุทธ์ 4P คืออะไร เพราะ 4P ถือเป็นโมเดลทางการตลาด ที่มีการใช้กันมาอย่างยาวนานมาก ถึงขั้นหลักสิบปีเลยก็ว่าได้ แต่ในช่วงยุคหลังมานี้ ก็ได้มีโมเดลใหม่ ๆ อย่าง 4C เกิดขึ้นมา โดยโมเดลใหม่ที่ว่าก็เป็นโมเดลที่อ้างอิงมาจากของเดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เพื่อให้ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างโมเดล 4P และ 4C เพื่อการเลือกใช้ที่เหมาะสมกับธุรกิจ วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกเกี่ยวกับโมเดลทั้ง 2 นี้แบบละเอียด

รู้จักกับกลยุทธ์ 4P และ 4C คืออะไร

กลยุทธ์ 4P 4C คือองค์ประกอบสำคัญในการบริหารงานทางด้านการตลาด ที่จะส่งผลต่อความสำเร็จทางธุรกิจ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจ และเพื่อให้คุณสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง กลยุทธ์ 4P และ 4C ได้อย่างชัดเจน เราจึงได้รวบรวมข้อมูลสำคัญทั้งหมดของโมเดลแต่ละตัว มาให้ที่ด้านล่างดังนี้

กลยุทธ์ 4P คือ

กลยุทธ์ 4P หรือโมเดล 4P คือโมเดลการตลาดที่นำเอาส่วนประกอบสำคัญอย่าง ที่ตั้ง (Place), การส่งเสริมการขาย (Promotion), ผลิตภัณฑ์ (Product) และราคา (Price) มาเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งจะมีการใช้เครื่องมือในการวางแผน และเริ่มต้นกระบวนการทางด้านการตลาดดังนี้

Place

ที่ตั้ง (Place) ในกลยุทธ์ 4P คือการให้ความสำคัญในการกระจายสินค้า เพื่อทำให้สินค้าสามารถถึงมือลูกค้า ได้ในสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด

Promotion

การส่งเสริมการขาย (Promotion) คือการส่งเสริมการขาย ในรูปแบบของการโฆษณา, การจัดโปรโมชั่น และการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ

Product

ผลิตภัณฑ์ (Product) ในกลยุทธ์ 4P คือการใส่ใจ การให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพผลิตภัณฑ์ และการให้ความสำคัญในคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนา และการตอบสนองความต้องการของลูกค้า

Price

ราคา (Price) คือการกำหนดราคา หรือการตั้งราคาในการขายที่มีความเหมาะสม เพื่อให้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย และตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

กลยุทธ์ 4C คือ

กลยุทธ์ 4C หรือโมเดล 4C คือโมเดลที่จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการให้บริการ และการสัมพันธ์กับลูกค้ามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยมีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ Customer (ลูกค้า), Cost (ราคา), Communication (การสื่อสาร) และ Convenience (ความสะดวกสบาย) ที่นำเอามาใช้เป็นกลยุทธ์

Customer

Customer (ลูกค้า) ในกลยุทธ์ 4C คือการให้ความสำคัญ และการเข้าใจถึงความต้องการ ความพอใจของลูกค้า เพื่อนำเอามาพัฒนาสินค้า และบริการ

Cost

Cost (ราคา) คือการให้ความสำคัญในเรื่องของราคา เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสำหรับลูกค้า และเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการ รวมถึงงบประมาณของลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้า

Communication

Communication (การสื่อสาร) ในกลยุทธ์ 4C คือการให้ความสำคัญในเรื่องของการสื่อสาร จะต้องมีความชัดเจน และมีความโปร่งใสกับลูกค้า เพื่อเป็นการสร้างความไว้วางใจ และเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

Convenience

Convenience (ความสะดวกสบาย) คือการให้ความสำคัญในเรื่องของความสะดวกสบาย จะต้องง่ายต่อการเข้าถึงสินค้า และบริการทุกด้าน

4P และ 4C ต่างกันอย่างไร

หากนำเอากลยุทธ์การตลาดอย่าง โมเดล 4P 4C จากข้อมูลข้างต้นมาเปรียบเทียบกัน จะสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยว่า การตลาด 4P จะเป็นการมุ่งเน้นที่ตัวของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก ซึ่งเป็นปัจจุบันภายในที่สามารถควบคุมได้ แต่สำหรับการตลาด 4C จะเป็นการมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือก็คือการมุ่งเน้นไปที่ลูกค้ามากยิ่งขึ้นนั่นเอง

4P และ 4C ใช้ด้วยกันได้ไหม

การทำธุรกิจในปัจจุบัน สามารถที่จะนำเอากลยุทธ์ทั้ง 2 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น 4P หรือ 4C มาปรับใช้กับธุรกิจได้ โดยการตลาดรูปแบบนี้ จะเรียกว่า “Marketing Mix” โดยจะเป็นการนำเอาโมเดล 4P มาใช้กับปัจจัยภายใน และนำเอาโมเดล 4C มาใช้กับปัจจัยภายนอก เพื่อให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง

สรุปบทความ

ทั้งหมดที่ได้มีการกล่าวมาในข้างต้น คือโมเดลการตลาด ที่มีส่วนช่วยทำให้ธุรกิจของคุณเติบโต และมียอดขายตามเป้าที่ตั้งเอาไว้ แต่นอกเหนือจากกลยุทธ์ที่ได้มีการกล่าวไปในข้างต้นแล้ว การเลือกโซลูชันที่ช่วยจัดการระบบหลังบ้าน ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน โดยเราขอยกตัวอย่างโซลูชันสำคัญอย่าง ระบบ ตรวจสอบสลิปโอนเงิน ที่เป็นตัวช่วยสำหรับร้านค้าและธุรกิจ ให้ปลอดภัยจากการโดนโกง การโดนปลอมแปลงสลิป หากธุรกิจของคุณมีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับโซลูชันจัดการระบบหลังบ้านดี ๆ ธุรกิจของคุณจะยิ่งสามารถบรรลุเป้าที่ตั้งเอาไว้ได้ง่าย และเร็วมากยิ่งขึ้น!!

แท็ก:

หมวดหมู่: วิธีใช้งาน

บทความที่เกี่ยวข้อง